ในบางช่วงเวลาของชีวิต มักมีเรื่องยุ่งวุ่นวายมากมาย เนื่องจากต้องจัดการกับความรับผิดชอบต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การช่วยเหลือผู้อื่น หรือการดูแลครอบครัว บางครั้งเรายุ่งเกินไปจนลืมที่จะพักหายใจสักครู่ ซึ่งสถานการณ์ที่เร่งรีบและกดดันเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการหมดไฟได้
ภาวะหมดไฟ (Burnout syndrome) คืออะไร?
ภาวะหมดไฟ (Burnout syndrome) เป็นรูปแบบหนึ่งของความอ่อนล้าที่เกิดจากความรู้สึกว่าถูกครอบงำตลอดเวลาด้วยความเครียด ภาวะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ร่างกาย จิตใจมากเกินไป และยังกินเวลานานเกินไปอีกด้วย ในหลายกรณี ภาวะหมดไฟมักมีความเกี่ยวข้องกับงานประจำที่ทำอยู่ทุกวัน แต่ภาวะหมดไฟยังสามารถเกิดขึ้นได้ในด้านอื่นๆ ของชีวิต ชีวิตทางสังคม รวมถึงส่งผลต่อสุขภาพด้วย
สัญญาณและอาการของภาวะหมดไฟ
1.สัญญาณทางกายภาพ
- รู้สึกเหนื่อยล้าและหมดแรงตลอดเวลา
- ภูมิคุ้มกันต่ำ เจ็บป่วยบ่อย
- ปวดหัวหรือปวดกล้ามเนื้อบ่อย
- ความอยากอาหาร หรือพฤติกรรมการนอนหลับเปลี่ยนแปลง
2.สัญญาณทางอารมณ์
- รู้สึกล้มเหลวและไม่มั่นใจในตัวเอง
- รู้สึกหมดหนทาง ไร้อิสระ รู้สึกพ่ายแพ้
- รู้สึกโดดเดี่ยว
- สูญเสียแรงจูงใจ มีทัศนคติเชิงลบ และมองโลกในแง่ร้ายมากขึ้น
- ความพึงพอใจและความรู้สึกสำเร็จลดลง
3.สัญญาณด้านพฤติกรรม
- หลีกเลี่ยงจากความรับผิดชอบ
- แยกตัวจากผู้อื่น
- ผัดวันประกันพรุ่ง ใช้เวลาทำสิ่งต่างๆ นานขึ้น
- กินอาหาร ใช้ยา หรือแอลกอฮอล์เพื่อรับมือกับปัญหา
- ระบายความหงุดหงิดกับผู้อื่น
- หนีงาน หรือมาทำงานสาย และเลิกงานเร็ว
5 ระยะของอาการหมดไฟ
1.ระยะฮันนีมูน (Honeymoon Phase) :
มีความรู้สึกทุ่มเท มีความพยายาม ซึ่งมักเกิดขึ้นช่วงที่เพิ่งได้งานใหม่ ได้เลื่อนตำแหน่ง เข้าเรียนในชั้นเรียน หรือเริ่มเป็นพ่อแม่หรือดูแลผู้อื่น เรามักมีความพร้อมที่จะยอมรับความรับผิดชอบใหม่ๆ กระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ตัวเอง
2.ระยะเริ่มเครียด (Stress Onset) :
ความเครียดจากการรับผิดชอบงานใหม่เริ่มส่งผลกระทบ เราเริ่มละเลยความต้องการดูแลตนเอง คุณภาพการนอนหลับของคุณลดลง ความวิตกกังวลปรากฏขึ้นบ่อยขึ้น พร้อมกับความหงุดหงิด ปวดหัว และเหนื่อยล้า ประสิทธิภาพการทำงานน้อยลง มีสมาธิจดจ่อได้ยากขึ้น และพยายามหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ
3.ระยะความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) :
คุณรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลาและรู้สึกเย้ยหยันหรือเฉยเมย ปัญหาทางสังคมอาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน มักหลีกเลี่ยงจากเพื่อนร่วมงาน หรือรู้สึกขุ่นเคืองต่อคนที่คุณรัก มีการผัดวันประกันพรุ่ง หรือใช้แอลกอฮอล์เพื่อรักษาตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
4.ระยะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) :
เราจะเริ่มรู้สึกมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับอนาคตและหมกมุ่นอยู่กับปัญหาใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังละเลยสุขภาพ ซึ่งมาพร้อมกับปัญหาทางกายภาพ เช่น ปัญหาทางเดินอาหาร และอาการปวดหัวเรื้อรัง รวมถึงมีความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง และพยายามแยกตัวเองออกจากสังคม
5.ระยะหมดไฟในการทำงานเรื้อรัง (Habitual Burnout) :
ชีวิตความเป็นอยู่ของเราจะแย่ลง มีอารมณ์เศร้าตลอดเวลา เหนื่อยล้าทั้งทางจิตใจและร่างกาย อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นได้
สาเหตุของภาวะหมดไฟ
1.สาเหตุของภาวะหมดไฟที่เกี่ยวข้องกับงาน
- รู้สึกว่าควบคุมงานของตัวเองได้น้อยหรือไม่ได้เลย
- ขาดการยอมรับหรือรางวัลสำหรับงานที่ทำได้ดี
- ความคาดหวังในผลงานที่มากจนเกินไป
- ทำงานที่ซ้ำซาก จำเจ หรือไม่ท้าทายทำงานในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายหรือกดดันสูง
2.ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ทำให้เกิดภาวะหมดไฟ
- ทำงานหนักเกินไป ไม่มีเวลาเข้าสังคม หรือพักผ่อนเพียงพอ
- ขาดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และคนที่คอยสนับสนุน
- รับความรับผิดชอบมากเกินไป รวมถึงไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างเพียงพอ
- นอนหลับไม่เพียงพอ
3.ลักษณะบุคลิกภาพสามารถนำไปสู่ภาวะหมดไฟ
- แนวโน้มของความเป็น Perfectionist หรือรู้สึกไม่ดีพอสักที
- มองตัวเองและโลกใบนี้ในแง่ร้าย
- ทุกอย่างต้องอยู่ในการควบคุมของตัวเอง ทำให้ลังเลที่จะมอบหมายงานให้ผู้อื่น
5 กลยุทธ์ในการต่อสู้กับภาวะหมดไฟ
1. การสำรวจตัวเองว่ากำลังประสบกับความเหนื่อยหน่ายในงานหรือไม่
โดยมีข้อสังเกตุเป็นข้อคำถามดังต่อไปนี้คือ
- มีความเครียดอย่างรุนแรง โดยมีอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เนื่องจากการทำงานหรือไม่?
- กลัวที่จะไปทำงานทุกวันหรือไม่?
- กังวลเกี่ยวกับการทำงาน แม้ว่าจะเป็นเวลาที่อยู่บ้าน ในเวลาว่างหรือไม่?
- เคยรู้สึกถูกดูถูก มองในทางลบ ทั้งต่องานและเพื่อนร่วมงาน หรือรู้สึกห่างเหินจากเพื่อนร่วมงานหรือไม่?
- รู้สึกไม่สามารถทำงานที่เคยเป็นเรื่องง่ายได้แล้ว?
- พบปัญหาทางกายมากขึ้น เช่น ปวดหัวมากขึ้น?
2. พยายามนอนให้มากขึ้น :
การนอนหลับที่ดีขึ้น เป็นสัญญาณสำคัญที่จะทำให้ร่างกายคนเราสามารถฟื้นตัวจากความเหนื่อยหน่ายและพร้อมที่จะกลับไปทำงาน
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ :
การที่จะบอกว่าการออกกำลังกายทีี่ถึงระดับที่มีผลต่อการทำงานหัวใจและหลอดเลือดนั้น สามารถทำได้ง่าย ซึ่งการออกกำลังกายที่ถึงระดับการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดนั้น สามารถลดอาการเหนื่อยหน่ายอย่างมีนัยสำคัญในเวลาเพียง 4 สัปดาห์
4. ทำสมาธิ :
การทำสมาธิแบบฝึกสติ เป็นเทคนิคที่สามารถช่วยให้เรารับมือกับปัญหาได้ในทุกสถานการณ์ สามารถฝึกฝน เพียงอย่างน้อย 10 นาทีต่อวัน ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายและจิตใจได้อย่างมีนัยสำคัญ
5. ฝึกหายใจ (Breathing exercise) :
ฝึกการหายใจอย่างมีสติ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการทำสมาธิ หายใจเข้า 4 ครั้งและหายใจออก 4 ครั้ง โดยตั้งสติเพ่งความสนใจอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เป็นต้น
เมื่อเราได้รับรู้ถึงสัญญาณเตือนของภาวะหมดไฟแล้ว การพยายามฝืนความเหนื่อยล้าและดำเนินชีวิตต่อไปในแบบเดิมจะยิ่งสร้างความเสียหายทางอารมณ์และร่างกายมากขึ้น ตอนนี้เป็นเวลาที่เราจะต้องหยุดพัก และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ โดยเรียนรู้วิธีช่วยตัวเองเอาชนะภาวะหมดไฟ เพื่อให้มีสุขภาพดี และสามารถมองโลกในแง่ดีอีกครั้ง
บทความโดย
ปรางทิพย์ บุญไชยอภิสิทธิ์ (มะปราง)
นักจิตวิทยา
ภาพโดย
พัทธดนย์ เจริญผล
Web Master & Co-Founder