Toxic Productivity คืออะไร
Toxic Productivity หรือ ความต้องการที่จะทำงานให้มีประสิทธิผลจนส่งผลกระทบด้านลบต่อชีวิต และมักจะเชื่อว่าชีวิตที่มีคุณค่าคือชีวิตที่ทำงานออกมาได้ดีเสมอ เมื่ออ่านแบบนี้แล้วเราอาจจะคิดว่าการทำงานได้ดีเสมอมันก็ดีนะ แต่หากมากเกินพอดีจนกลายเป็น Toxic Productivity ความต้องการนั้นจะมากเกินความจำเป็น จนเกิดความเหนื่อยล้าในการทำงาน และมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ รวมทั้งเราอาจจะละเลยกิจกรรมที่สำคัญอื่น ๆ ในชีวิตด้วย เพราะมักจะให้คุณค่ากับงานมากกว่าสิ่งอื่นในชีวิต
สาเหตุของ Toxic Productivity
Rinaily Bonifacio (2024) และ Cooks-Campbell (2023) ได้นำเสนอสาเหตุของ Toxic Productivity ไว้ดังนี้
-
วัฒนธรรมการทำงานหนัก
วัฒนธรรมการทำงานหนักในองค์กรมักมีส่วนที่ทำให้เราเชื่อว่า เราจำเป็นต้องทำงานอย่างหนักและพร้อมสำหรับการทำงานอยู่เสมอ
-
ความคาดหวังในตนเอง
บางครั้งเราอาจจะคาดหวังในตนเองสูงเกินไป ให้ความหมายคำว่ามาตรฐานอย่างไม่สมเหตุสมผล จนอาจนำไปสู่การนิยมความสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นผลให้เราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อไปถึงมาตรฐานนั้น
-
การทำงานหนักเพื่อหลีกเลี่ยงบางอย่าง
บางครั้งเราอาจจะให้ความสนใจและจดจ่อกับการทำงานเพื่อหลีกหนีจากความรู้สึกหรือปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แทนที่ปัญหาเหล่านั้นด้วยการทำงานอย่างหนัก และทำให้ตนเองรู้สึกว่ากำลังยุ่งอยู่ตลอดเวลาเพื่อดึงดูดความรู้สึกและความคิดออกจากความทุกข์นั้น
-
การกลัวความล้มเหลวหรือความรู้สึกไม่เพียงพอ
การกลัวความล้มเหลวหรือความรู้สึกไม่เพียงพอ อาจจะกระตุ้นให้เราพยายามทำงานอย่างหนักจนสุดความสามารถและทุ่มเทแรงกายแรงใจอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ
-
ความกดดันจากสังคม
ความกดดันบางอย่างจากผู้อื่นหรือสังคมโดยรวม อาจจะทำให้เรารู้สึกว่าจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อจะได้มีคุณค่าในสังคมอยู่เสมอ
-
วัฒนธรรมการเปรียบเทียบ
แม้บางครั้งการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นจะเกิดขึ้นอยู่แล้วบ้าง โดยเฉพาะการเปรียบเทียบเกี่ยวกับความสำเร็จ แต่การเปรียบเทียบก็อาจนำไปสู่การกระตุ้นให้เราอยากทำงานให้มากขึ้น เพื่อจะได้เท่ากับคนอื่นหรือในบางครั้งก็อยากนำหน้าคนอื่นก็เป็นได้
สัญญาณเตือนของ Toxic Productivity
ในบทความของ Caeleigh MacNeil (2024) ได้นำเสนอสัญญาณเตือนทั่วไปของ Toxic Productivity ไว้ 6 ข้อ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
-
ทำงานล่วงเวลาเป็นประจำ
การทำงานล่วงเวลาบ้างถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตการทำงานของเรา แต่หากเรามักทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่นเป็นประจำ วันหยุดก็ยังทำงานอยู่ หรือหากมีช่วงเวลาว่างก็มักคิดถึงเรื่องงานเสมอ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะเริ่มสังเกตตนเองว่ากำลังทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของ Toxic Productivity ก็เป็นไปได้
-
รู้สึกผิดที่ทำงานไม่เสร็จตามที่คาดหวัง
เรามักจะรู้สึกผิดที่ทำงานไม่เสร็จตามที่คาดหวัง แม้ว่าจะทำงานได้ดีหรือมากแค่ไหนก็ตาม เพราะหลายครั้งมักจะตั้งเป้าหมายหรือความคาดหวังในการทำงานไว้สูงเกินความเป็นจริง
-
ต้องการทำกิจกรรมที่มีเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น
เราอาจจะละเลยกิจกรรมบางอย่างเพราะคิดว่าการทำกิจกรรมเหล่านี้ทำให้เสียเวลาและไม่ช่วยให้งานที่ทำอยู่ประสบความสำเร็จหรือเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เช่น การใช้เวลากับครอบครัว เพื่อน คนรัก การพักผ่อน หรือการเพลิดเพลินไปกับวันหยุด เป็นต้น
-
ดูแลตัวเองน้อยลง
เราอาจจะให้ความสำคัญกับตนเองน้อยลงกว่าปกติและลดความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลตนเอง เช่น การพักผ่อน การออกกำลังกาย การใช้เวลากับคนรัก หรือการทานอาหารที่ดี บางครั้งอาจถึงขั้นอดมื้อกินมื้อหรือไม่เข้าห้องน้ำ เพื่อจะได้ทำงานนานขึ้น
-
มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลเรื้อรัง
เราอาจจะคิดว่าตนเองทำได้ไม่ดีพอหรือรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับงานที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการพยายามทำงานอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนที่รัก การใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนลดลง ไม่ได้ทำทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายและเพลิดเพลิน ซึ่งอาจะทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า และหากเป็นต่อเนื่องก็อาจะส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลเรื้อรังก็เป็นได้
-
รู้สึกหมดไฟในการทำงาน
เมื่อเราพยายามทำงานหนักอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจะทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน (burnout) ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีอาการที่แตกต่างกันออกไป แต่บางอาการก็มักพบได้ทั่วไป เช่น รู้สึกเหนื่อยล้า สิ้นหวัง และพบปัญหาสุขภาพทางกาย เป็นต้น
ผลกระทบของ Toxic Productivity
จากการศึกษาในช่วงที่ผ่านมาพบว่า Toxic Productivity สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกกลุ่มประชากร ซึ่งความต้องการที่จะทำงานให้มีประสิทธิผลในปริมาณที่มากเกินไปจนเราต้องทำงานอย่างหนัก มักจะส่งผลทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) เมื่อเราทำงานหนักเกินไปอย่างต่อเนื่องก็มักจะส่งผลให้รู้สึกหมดแรงหรือเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง จนเกิดเป็นภาวะทางจิตใจและอารมณ์ที่ทำให้รู้สึกท้อแท้หรือหมดหวัง ซึ่งอาจนำไปสู่การทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
- สุขภาพกาย โดยอาการทางกายที่พบได้บ่อย เช่น ความเหนื่อยล้า ปวดหัว หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เป็นต้น
- ปัญหาความสัมพันธ์ บ่อยครั้งเมื่อเราทำงานหนักเกินไปจนแทบใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนเพื่อการทำงานเท่านั้น เรามักปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังให้เวลากับครอบครัวหรือคนที่รักน้อยลง ซึ่งอาจะส่งผลให้เกิดความห่างเหินทางความสัมพันธ์ได้
- ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง หลายครั้งเรามักจะเข้าใจผิดว่าถ้าทำงานหนักขึ้นจะทำให้ประสบความสำเร็จแน่ ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป การทำงานหนักหรือมากเกินไปไม่ได้รับรองว่าเราจะประสบความสำเร็จ ในทางกลับกันอาจจะทำให้เราไม่มีเวลาพักผ่อนจนขาดสมาธิหรือความสามารถในการตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ จนอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
6 เคล็ดลับป้องกัน Toxic Productivity
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ ชีวิตของเราไม่ใช่เครื่องจักรที่จะต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เราจำเป็นจะต้องหยุดพักผ่อนเพื่อให้เวลากับตนเองและใช้เวลากับคนรัก โดย Caeleigh MacNeil (2024) ได้นำเสนอ 6 เคล็ดลับเพื่อป้องกัน Toxic Productivity ไว้ดังนี้
-
การกำหนดขอบเขตการทำงาน
การกำหนดขอบเขตการทำงานให้ตนเองเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถแบ่งเวลางานกับเวลาส่วนตัวได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีเทรนด์การทำงานได้ในทุกที่ (Work from Anywhere) ซึ่งส่งผลให้เราอาจจะใช้เวลามากขึ้นในการทำงาน เช่น การตอบอีเมล์ การประชุม เป็นต้น โดยการกำหนดขอบเขตการทำงานอาจเริ่มต้นจากการกำหนดเวลาอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับการเริ่มทำงานและการเลิกงาน เพื่อให้ตนเองและทีมตระหนักถึงขอบเขตการทำงานของกันและกันอย่างชัดเจนขึ้น
-
การตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล
หลายครั้งที่เรามักตั้งเป้าหมายในทำงานสูงเกินความสามารถและบริบทของตนเอง จนอาจทำให้รู้สึกกดดันและทำงานมากขึ้นนานหลายชั่วโมง และบางครั้งก็อาจจะรู้สึกผิดหากทำงานได้น้อยลง ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายที่เหมาะสมและเป็นไปได้จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลด Toxic Productivity ได้ โดยใช้การตั้งเป้าหมายแบบ SMART goals คือการตั้งเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง (Specific) สามารถวัดผลได้ (Measurable) สามารถทำได้ (Achievable) สมเหตุสมผลกับบริบทจริง (Realistic) และมีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน (Time-bound) เพื่อช่วยในการวางแผนการทำงานอย่างมีกลยุทธ์และสามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้
-
การกำหนดเวลาพักให้ตนเอง
การจัดตารางสำหรับการพักผ่อนให้ตนเองเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับชีวิตมนุษย์ เนื่องจากการพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในกับเราได้ โดยดร. ซาฮาร์ ยูเซฟ กล่าวไว้ การพักอย่างมีกลยุทธ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการทำงานที่หนักเกินไป โดยมีวิธีการพักแบบ 3M ดังนี้
-
- Macro breaks คือ การกำหนดให้มีวันพักครึ่งวันหรือเต็มวันในช่วง 1 เดือน เช่น การไปเดินป่า One Day Trip หรือการกลับบ้านเพื่อไปหาครอบครัว เป็นต้น
- Meso breaks คือ การพัก 1–2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เช่น การเรียนดนตรี การเล่นกีฬา การชมนิทรรศการ หรือการเข้าร่วม Workshop ต่าง ๆ เป็นต้น
- Micro breaks คือ การพักช่วงสั้น ๆ ระหว่างวัน เช่น พักเพื่อดื่มน้ำ ยืดเส้นยืดสาย ทำสมาธิ เป็นต้น
-
การกำหนดเวลาสำหรับการหยุดพักที่จะ “ไม่ทำอะไรเลย”
เมื่อเราติดอยู่ในวงจร Toxic Productivity จนทำให้เราคิดว่าทุกนาทีจะต้องมีเป้าหมายและพัฒนาตนเองตลอดเวลา ดังนั้นการกำหนดเวลาให้ตนเองหยุดพักโดยไม่ต้องทำอะไรเลยบ้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราได้อนุญาตให้ตนเองได้พักผ่อนอย่างมีคุณภาพบ้าง เช่น นั่งฟังเพลง ทำสมาธิ เดินเล่น ดูซีรีส์ เป็นต้น โดยการพักผ่อนเช่นนี้ไม่ใช่การทำกิจกรรมที่ต้องทำให้สำเร็จแต่เป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้ให้เวลากับตนเองเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
-
การทำความเข้าใจความรู้สึกและความคิดของตนเอง
บ่อยครั้งที่การทำงานหนักเกินไปเป็นผลมาจากความรู้สึกเชิงลบที่เรามีต่อตนเอง เช่น การกลัวความล้มเหลว การไม่มั่นใจในตนเอง การรู้สึกไม่มีคุณค่า การเปรียบเทียบกับคนอื่น เป็นต้น การเริ่มต้นสำรวจและทำความเข้าใจความรู้สึกและความคิดของตนเองจะช่วยให้เราเข้าใจตนเองมากขึ้น รวมทั้งจะช่วยให้เราตระหนักได้ถึงสาเหตุที่ทำให้เราทำงานหนักเกินไปได้ และสามารถเตรียมรับมือกับความคิดและความรู้สึกด้านลบต่าง ๆ ได้แทนการทำงานที่หนักเกินไป
-
การหยุดพักจากการใช้โทรศัพท์มือถือ
การมีโทรศัพท์มือถืออยู่กับเราตลอดเวลามีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันก็จริง แต่ถ้าหากการใช้โทรศัพท์มือถือในการทำงานมากเกินไปจนไม่สมดุลกับการใช้ชีวิตอื่น ๆ เช่น การได้รับเสียงแจ้งเตือนจากอีเมล์อยู่ตลอดเวลา การเห็นข้อความจากหัวหน้างานแล้วรู้สึกว่าจะต้องตอบทันที ก็อาจจะทำให้เรารู้สึกผิดที่จะไม่ตอบได้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือยังทำให้เราสามารถเห็นชีวิตของคนอื่นได้ง่ายขึ้นผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ จึงอาจจะทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ เพราะดูเหมือนใคร ๆ ก็ประสบความสำเร็จมากกว่าเราทั้งนั้น จนเราเกิดความรู้สึกไม่เพียงพอและอยากทำงานให้หนักขึ้นเพื่อจะประสบความสำเร็จ โดยมีตัวอย่างของการหยุดพักจากการใช้โทรศัพท์มือถือ เช่น เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในลิ้นชักในขณะทำงานหรือพักผ่อน ปิดการแจ้งเตือนจากแอปต่าง ๆ ลบแอปที่เกี่ยวข้องกับงาน เป็นต้น
จากเคล็ดลับข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของการดูแลและป้องกันตนเองจาก Toxic Productivity เท่านั้น แต่มนุษย์นั้นย่อมมีความแตกต่างกันระหว่างบุคคลอยู่แล้ว อีกทั้งบริบทการทำงานก็ย่อมแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นวิธีการในการดูแลตนเองก็ย่อมแตกต่างกันด้วย การหมั่นสังเกตและศึกษาวิธีการดูแลตนเองจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม จึงเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งที่จะช่วยให้เราตัดสินใจเลือกการดูแลที่เหมาะสมกับตนเองได้
อ้างอิง
บทความโดย
ชลธิชา หาญอารีย์ (นุ่น)
นักจิตวิทยา
ภาพโดย
พัทธดนย์ เจริญผล
Web Master & Co-Founder