![1200x628 [611] Trauma คืออะไร บาดแผลทางใจในอดีต มีผลถึงปัจจุบัน](https://mentalmateservice.com/wp-content/uploads/2024/04/1200x628-611-Trauma-คืออะไร-บาดแผลทางใจในอดีต-มีผลถึงปัจจุบัน-1024x536.webp)
ประสบการณ์ในอดีต ส่งผลต่อปัจจุบัน และเป็นตัวกำหนดเส้นทางในอนาคต ประสบการณ์ที่ดีมักนำพาให้ชีวิตเดินหน้าไปสู่สิ่งที่สวยงาม แต่หลายครั้งโชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิต และนำพาสิ่งที่เลวร้ายเข้ามาได้ตลอด เมื่อชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่ใฝ่ฝัน ประสบการณ์แย่ๆ พาเราย้อนกลับไปยังอดีตเสมอ แล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้ก้าวข้ามผ่านสิ่งที่เจ็บปวด และเดินหน้าต่อไปยังอนาคตได้ บทความนี้จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจถึงความหมายของอาการ Trauma คืออะไร และช่วยสำรวจสภาพจิตใจเบื้องต้นได้

Trauma คืออะไร?
จริงๆ แล้วคำว่า Trauma หรือ ความบอบช้ำทางจิตใจ เริ่มมาจากภาษากรีกโบราณ ที่หมายถึง “ทำให้เสียหาย” หรือ “ทำให้เป็นอันตราย” นอกจากนี้ยังหมายถึง “บาดแผลที่มีการฉีกขาด” ได้อีกด้วย โดยในทางการแพทย์ได้ให้นิยามไว้ว่า ประสบการณ์ของบุคคลที่ส่งผลกระตุ้นต่อภาวะทางอารมณ์อย่างรุนแรง จนบุคคลไม่สามารถรับมือกับสภาวะทางอารมณ์เหล่านั้นได้ อาจทำให้มีอาการตกใจ ภาวะช็อค หรือปฏิเสธไม่ยอมรับอารมณ์นั้น ซึ่งเหตุการณ์นั้นอาจเกิดเพียงครั้งเดียว หรือเกิดต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน และเป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดกับบุคคลนั้นโดยตรงหรือเกิดกับผู้อื่นก็ได้
กระบวนการการเกิด Trauma
ประสบการณ์กระทบกระเทือนจิตใจสามารถบ่อนทำลายความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยกับโลกใบนี้ และอาจสร้างความรู้สึกหวาดกลัวว่าสิ่งที่เลวร้ายนั้นอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เนื่องจากเมื่อประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายแล้ว หลายครั้งอาจเกิดเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ อีก หรือหากไม่เกิดเหตุการณ์นั้นก็จะมีความทรงจำที่กระตุ้นอารมณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การวนซ้ำของความทรงจำและอารมณ์ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมอง ทำให้บุคคลมีความไวต่อตัวกระตุ้นที่เป็นภัยคุกคามสูงขึ้นในอนาคต พัฒนาไปเป็นพฤติกรรมที่มักจะหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีออกจากตัวกระตุ้นนั้น เนื่องจากไม่สามารถทนต่อภาวะทางอารมณ์และภาวะทางกายที่เกิดขึ้นเฉียบพลันกับตัวเองได้
อย่างไรก็ตาม มนุษย์แต่ละคนมีความสามารถในการประมวลผลเหตุการณ์หรือประสบการณ์ที่แตกต่างกัน และไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบเดียวกัน บาดแผลทางใจที่คนคนหนึ่งเจอ อาจไม่ได้สร้างความทุกข์ให้กับอีกคนก็ได้ ดังนั้นแล้ว ความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงมีความสำคัญอย่างมากในการประเมินและแยกแยะอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ประเภทของ Trauma
ประสบการณ์ที่ทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจ อาจแบ่งประเภทได้ตามความถี่ของการเกิดเหตุการณ์
- Acute trauma หรือการบาดเจ็บทางจิตใจอย่างเฉียบพลัน หมายถึง ความทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว หรือเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การทำร้ายร่างกาย การถูกข่มขืน การเสียชีวิตอย่างกะทันกันของคนที่รัก ภัยพิบัติ หรือแม้แต่เหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ ก็สามารถสร้างบาดแผลเฉียบพลันได้
- Chronic trauma หรือความบอบช้ำทางจิตใจเรื้อรัง หมายถึง ความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้ง และเกิดต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น การบูลลี่ในโรงเรียน ความรุนแรง หรือการถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนในครอบครัว ซึ่งบาดแผลที่เรื้องรังนี้ มักส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพจิตของบุคคล อย่างเช่น ความผิดปกติของบุคลิกภาพ (Personality Disorder) หรือ ภาวะเครียดซึมเศร้าหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (Post-traumatic Stress Disorder; PTSD)

บาดแผลทางใจในอดีต มีผลถึงปัจจุบันอย่างไร
บุคคลที่ได้รับบาดแผลทางจิตใจรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดปัญหาเรื้อรังทั้งในด้านสุขภาพกาย สภาพจิตใจ อารมณ์ และในเชิงของสังคม ดังต่อไปนี้
- อาการวิตกกังวล
- รู้สึกหวาดกลัวรุนแรง
- หงุดหงิดง่าย/ก้าวร้าว
- อาการแพนิค (Panic attack)
- ปัญหาการนอน
- อาการฝันร้าย
- ภาพ/ความคิดที่ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ (เช่น flashback)
- ความรู้สึกสิ้นหวัง
- ความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ (Low self-esteem)
- ภาวะซึมเศร้า
- การทำร้ายตัวเอง หรือการฆ่าตัวตาย
- การใช้สารเสพติด
คู่มือวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต ฉบับที่ 5 (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders: DSM-5) ให้ข้อมูลกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจไว้ดังนี้
- Reactive Attachment Disorder
- Uninhibited Social Engagement Disorder
- Post-Traumatic Stress Disorder (PTSD)
- Acute Stress Disorder
- Adaptation Disorders

บาดแผลในอดีตไม่อาจลบออกได้ แต่เยียวยาได้
ความปราถนาสูงสุดของผู้ที่ประสบกับบาดแผลทางจิตใจ คือการลบความทรงจำส่วนนั้นออก เพื่อที่จะไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดอีก แต่หลายครั้งด้วยกลไกทางสมอง ทำให้ไม่สามารถลบความทรงจำนั้นออกได้อย่างแท้จริง ดังนั้น การอยู่ร่วมกับความทรงจำเหล่านั้นโดยที่เจ็บปวดน้อยลง รับมือกับภาวะทางอารมณ์ และจัดการกับอาการทางกายได้ ถือเป็นเป้าหมายที่สำคัญในการรักษา โดยในระดับบุคคลทั่วไป แนวทางรับมือเบื้องต้นมีดังนี้
- ทำความเข้าใจอาการของตัวเอง ทั้งสถานการณ์ ตัวกระตุ้น ภาวะทางอารมณ์ ความคิดด้านลบ และปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกาย
- มีการรับรู้และตระหนักถึงความคิดหรือมุมมองในด้านลบต่อตัวเอง รู้เท่าทันความคิดนั้น และปรับมุมมองให้ตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบันหรือปรับให้เป็นเชิงบวกมากขึ้น
- ฝึกจัดการกับปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกาย เช่น เทคนิคการผ่อนคลายความวิตกกังวลและความเครียด การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกหายใจอย่างเป็นระบบ การฝึกสติ (Mindfulness)
- ฝึกการเบี่ยงเบนจากความคิดหรืออารมณ์ (Shift focus) เมื่อรู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ ให้พยายามฝึกเบี่ยงเบนจากออกสภาวะเหล่านั้น ไปสู่การทำกิจกรรมอื่นที่สามารถเปลี่ยนจุดโฟกัสได้ เช่น การทำงานบ้าน การออกกำลังกาย การทำงานอดิเรก การเล่นดนตรี หรือการทำสวน
- เน้นพบปะพูดคุยกับผู้คนทั่วไป เพื่อระบายความเครียดที่สะสมอยู่ภายในใจ มีการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ๆ จากคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และเพื่อให้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ไม่ได้โดดเดี่ยว หรือไม่ได้เผชิญกับเหตุการณ์นี้เพียงคนเดียว
- ประเมินอาการตัวเองเบื้องต้น หากมีอาการที่รุนแรง ต่อเนื่องเป็ระยะเวลานาน และกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน แนะนำเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาทันที เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
หลายครั้งเหตุการณ์ trauma ก็เป็นเหตุการณ์ที่หลายคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และไม่มีใครอยากให้เกิด อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ขอให้พิจารณาและตั้งสติให้มั่น ทำความเข้าใจ และเสาะหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้บาดแผลมาทำร้ายเรามากขึ้นในวันข้างหน้า
อ้างอิง
Perrotta, Giulio. (2020). Psychological Trauma: Definition, Clinical Contexts, Neural Correlations and Therapeutic Approaches Recent Discoveries.
บทความโดย
ปรางทิพย์ บุญไชยอภิสิทธิ์ (มะปราง)
นักจิตวิทยา
ภาพโดย
พัทธดนย์ เจริญผล
Web Master & Co-Founder