1200x628 [611] Trauma คืออะไร บาดแผลทางใจในอดีต มีผลถึงปัจจุบัน

     ประสบการณ์ในอดีต ส่งผลต่อปัจจุบัน และเป็นตัวกำหนดเส้นทางในอนาคต ประสบการณ์ที่ดีมักนำพาให้ชีวิตเดินหน้าไปสู่สิ่งที่สวยงาม แต่หลายครั้งโชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิต และนำพาสิ่งที่เลวร้ายเข้ามาได้ตลอด เมื่อชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่ใฝ่ฝัน ประสบการณ์แย่ๆ พาเราย้อนกลับไปยังอดีตเสมอ แล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้ก้าวข้ามผ่านสิ่งที่เจ็บปวด และเดินหน้าต่อไปยังอนาคตได้ บทความนี้จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจถึงความหมายของอาการ Trauma คืออะไร และช่วยสำรวจสภาพจิตใจเบื้องต้นได้

Trauma คืออะไร

Trauma คืออะไร?

     จริงๆ แล้วคำว่า Trauma หรือ ความบอบช้ำทางจิตใจ เริ่มมาจากภาษากรีกโบราณ ที่หมายถึง “ทำให้เสียหาย” หรือ “ทำให้เป็นอันตราย” นอกจากนี้ยังหมายถึง “บาดแผลที่มีการฉีกขาด” ได้อีกด้วย โดยในทางการแพทย์ได้ให้นิยามไว้ว่า ประสบการณ์ของบุคคลที่ส่งผลกระตุ้นต่อภาวะทางอารมณ์อย่างรุนแรง จนบุคคลไม่สามารถรับมือกับสภาวะทางอารมณ์เหล่านั้นได้ อาจทำให้มีอาการตกใจ ภาวะช็อค หรือปฏิเสธไม่ยอมรับอารมณ์นั้น ซึ่งเหตุการณ์นั้นอาจเกิดเพียงครั้งเดียว หรือเกิดต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน และเป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดกับบุคคลนั้นโดยตรงหรือเกิดกับผู้อื่นก็ได้

กระบวนการการเกิด Trauma

     ประสบการณ์กระทบกระเทือนจิตใจสามารถบ่อนทำลายความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยกับโลกใบนี้ และอาจสร้างความรู้สึกหวาดกลัวว่าสิ่งที่เลวร้ายนั้นอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เนื่องจากเมื่อประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายแล้ว หลายครั้งอาจเกิดเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ อีก หรือหากไม่เกิดเหตุการณ์นั้นก็จะมีความทรงจำที่กระตุ้นอารมณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การวนซ้ำของความทรงจำและอารมณ์ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมอง ทำให้บุคคลมีความไวต่อตัวกระตุ้นที่เป็นภัยคุกคามสูงขึ้นในอนาคต พัฒนาไปเป็นพฤติกรรมที่มักจะหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีออกจากตัวกระตุ้นนั้น เนื่องจากไม่สามารถทนต่อภาวะทางอารมณ์และภาวะทางกายที่เกิดขึ้นเฉียบพลันกับตัวเองได้

     อย่างไรก็ตาม มนุษย์แต่ละคนมีความสามารถในการประมวลผลเหตุการณ์หรือประสบการณ์ที่แตกต่างกัน และไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบเดียวกัน บาดแผลทางใจที่คนคนหนึ่งเจอ อาจไม่ได้สร้างความทุกข์ให้กับอีกคนก็ได้ ดังนั้นแล้ว ความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงมีความสำคัญอย่างมากในการประเมินและแยกแยะอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ประเภทของ truama

ประเภทของ Trauma

     ประสบการณ์ที่ทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจ อาจแบ่งประเภทได้ตามความถี่ของการเกิดเหตุการณ์

  1. Acute trauma หรือการบาดเจ็บทางจิตใจอย่างเฉียบพลัน หมายถึง ความทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว หรือเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การทำร้ายร่างกาย การถูกข่มขืน การเสียชีวิตอย่างกะทันกันของคนที่รัก ภัยพิบัติ หรือแม้แต่เหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ ก็สามารถสร้างบาดแผลเฉียบพลันได้
  2. Chronic trauma หรือความบอบช้ำทางจิตใจเรื้อรัง หมายถึง ความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้ง และเกิดต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น การบูลลี่ในโรงเรียน ความรุนแรง หรือการถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนในครอบครัว ซึ่งบาดแผลที่เรื้องรังนี้ มักส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพจิตของบุคคล อย่างเช่น ความผิดปกติของบุคลิกภาพ (Personality Disorder) หรือ ภาวะเครียดซึมเศร้าหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (Post-traumatic Stress Disorder; PTSD)
บาดแผลทางใจในอดีต มีผลถึงปัจจุบันอย่างไร

บาดแผลทางใจในอดีต มีผลถึงปัจจุบันอย่างไร

     บุคคลที่ได้รับบาดแผลทางจิตใจรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดปัญหาเรื้อรังทั้งในด้านสุขภาพกาย สภาพจิตใจ อารมณ์ และในเชิงของสังคม ดังต่อไปนี้

  • อาการวิตกกังวล
  • รู้สึกหวาดกลัวรุนแรง
  • หงุดหงิดง่าย/ก้าวร้าว
  • อาการแพนิค (Panic attack)
  • ปัญหาการนอน
  • อาการฝันร้าย
  • ภาพ/ความคิดที่ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ (เช่น flashback)
  • ความรู้สึกสิ้นหวัง
  • ความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ (Low self-esteem)
  • ภาวะซึมเศร้า
  • การทำร้ายตัวเอง หรือการฆ่าตัวตาย
  • การใช้สารเสพติด

     คู่มือวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต ฉบับที่ 5 (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders: DSM-5) ให้ข้อมูลกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจไว้ดังนี้

  • Reactive Attachment Disorder
  • Uninhibited Social Engagement Disorder
  • Post-Traumatic Stress Disorder (PTSD)
  • Acute Stress Disorder
  • Adaptation Disorders
บาดแผลทางใจในอดีต ไม่อาจลบออกได้ แต่เยียวยาได้

บาดแผลในอดีตไม่อาจลบออกได้ แต่เยียวยาได้

     ความปราถนาสูงสุดของผู้ที่ประสบกับบาดแผลทางจิตใจ คือการลบความทรงจำส่วนนั้นออก เพื่อที่จะไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดอีก แต่หลายครั้งด้วยกลไกทางสมอง ทำให้ไม่สามารถลบความทรงจำนั้นออกได้อย่างแท้จริง ดังนั้น การอยู่ร่วมกับความทรงจำเหล่านั้นโดยที่เจ็บปวดน้อยลง รับมือกับภาวะทางอารมณ์ และจัดการกับอาการทางกายได้ ถือเป็นเป้าหมายที่สำคัญในการรักษา โดยในระดับบุคคลทั่วไป แนวทางรับมือเบื้องต้นมีดังนี้

  1. ทำความเข้าใจอาการของตัวเอง ทั้งสถานการณ์ ตัวกระตุ้น ภาวะทางอารมณ์ ความคิดด้านลบ และปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกาย
  2. มีการรับรู้และตระหนักถึงความคิดหรือมุมมองในด้านลบต่อตัวเอง รู้เท่าทันความคิดนั้น และปรับมุมมองให้ตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบันหรือปรับให้เป็นเชิงบวกมากขึ้น
  3. ฝึกจัดการกับปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกาย เช่น เทคนิคการผ่อนคลายความวิตกกังวลและความเครียด การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกหายใจอย่างเป็นระบบ การฝึกสติ (Mindfulness)
  4. ฝึกการเบี่ยงเบนจากความคิดหรืออารมณ์ (Shift focus) เมื่อรู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ ให้พยายามฝึกเบี่ยงเบนจากออกสภาวะเหล่านั้น ไปสู่การทำกิจกรรมอื่นที่สามารถเปลี่ยนจุดโฟกัสได้ เช่น การทำงานบ้าน การออกกำลังกาย การทำงานอดิเรก การเล่นดนตรี หรือการทำสวน
  5. เน้นพบปะพูดคุยกับผู้คนทั่วไป เพื่อระบายความเครียดที่สะสมอยู่ภายในใจ มีการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ๆ จากคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และเพื่อให้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ไม่ได้โดดเดี่ยว หรือไม่ได้เผชิญกับเหตุการณ์นี้เพียงคนเดียว
  6. ประเมินอาการตัวเองเบื้องต้น หากมีอาการที่รุนแรง ต่อเนื่องเป็ระยะเวลานาน และกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน แนะนำเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาทันที เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง



     หลายครั้งเหตุการณ์ trauma ก็เป็นเหตุการณ์ที่หลายคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และไม่มีใครอยากให้เกิด อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ขอให้พิจารณาและตั้งสติให้มั่น ทำความเข้าใจ และเสาะหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้บาดแผลมาทำร้ายเรามากขึ้นในวันข้างหน้า

 

อ้างอิง

Perrotta, Giulio. (2020). Psychological Trauma: Definition, Clinical Contexts, Neural Correlations and Therapeutic Approaches Recent Discoveries.

บทความโดย

ประวัติผู้เขียน

ภาพโดย

แชร์บทความ

ระบบชำระเงินรองรับ PromptPay, บัตรเครดิต และช่องทางอื่นๆ

X

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save