ใจเร็ว เลือดร้อน เดือดพล่าน ว้าวุ่น เข้าใจยาก โลกส่วนตัวสูง มักเป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยเมื่อนึกถึง “วัยรุ่น” โดยสิ่งที่เราสังเกตเห็นผ่านคำพูด การแสดงสีหน้าท่าทาง หรือพฤติกรรมของวัยรุ่น เช่น พูดคำหยาบคายไม่เหมาะกับสถานการณ์ ขาดการยับยั้งชั่งใจ ทะเลาะวิวาท ทำลายข้าวของ ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น นั้นอาจทำให้หลายครั้งเกิดการตัดสินวัยรุ่นว่าเขาเป็นคนก้าวร้าว รุนแรง หรือเป็นคนไม่ดี ซึ่งในขณะเดียวกัน ลักษณะที่วัยรุ่นแสดงออกมาให้เราเห็นนั้น อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความรู้สึก ความต้องการภายในใจของเขาก็เป็นได้
บทความนี้ จึงขอชวนผู้อ่านได้มาเข้าใจมุมมองของวัยรุ่น เพื่อให้สามารถรับมือกับพฤติกรรมของเขาได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
วัยรุ่น คือใคร?
วัยรุ่น คือ ช่วงวัยเปลี่ยนผ่านจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ ซึ่งจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เห็นได้ชัด โดยเพศหญิงมักเริ่มเร็วกว่าเพศชาย ช่วงอายุ 13-14 ปี เช่น การมีหน้าอก การมีประจำเดือน การมีขนขึ้นตามรักแร้ ส่วนในเพศชาย มักเริ่มช่วงอายุ 15-16 ปี เช่น เสียงแตกหนุ่ม มีหนวด มีขนตามหน้าแข้ง/รักแร้ นอกจากนี้ เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ร่างกายเริ่มมีการยืดขยายเพิ่มขึ้น ตัวสูงขึ้น แขนยาว ขายาว มีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น สมองของวัยรุ่น มีการพัฒนาขึ้นจากวัยเด็ก ในช่วงวัยรุ่น สมองจะมีขนาดโตเต็มที่ใกล้เคียงกับขนาดสมองของผู้ใหญ่ และเริ่มมีการจัดเก็บเส้นใยประสาทบางส่วนที่ใช้ซ้ำ ใช้บ่อยไว้ ในขณะเดียวกัน เส้นใยประสาทที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ก็จะถูกคัดออกไป นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นเกิดพฤติกรรมที่เป็นนิสัย หรือทักษะที่มีความชำนาญเฉพาะตัว
เป็นวัยรุ่น ต้องเจอกับอะไรบ้าง?
พัฒนาการทางสมองของวัยรุ่น
ในวัยรุ่น สมองส่วนหน้า หรือ prefrontal cortex ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดตัดสินใจวางแผน และยับยั้งชั่งใจ กำลังพัฒนาแต่ยังไม่สมบูรณ์ดีนัก วัยรุ่นจึงอาศัยการทำงานของสมองส่วนอะมิกดัลลา (amygdala) ซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่เข้มข้น เช่น ความกลัว ความโกรธ มาใช้ควบคู่กับการคิดตัดสินใจด้วย เราจึงมักสังเกตเห็นว่า วัยรุ่นมักมีอารมณ์แรง ดีใจสุด โกรธสุด รักสุด เกลียดสุด
ฮอร์โมนในวัยรุ่น
- ทั้งเพศชายและหญิง ช่วงอายุ 7-8 ปี ร่างกายจะเริ่มสร้างฮอร์โมนเพศเพิ่มขึ้น เช่น เทสโทสเตอโรน (testosterone) โพรเจสเทอโรน (progesterone) อีสโทรเจน (estrogen) เพื่อเตรียมพร้อมสู่ระยะเจริญพันธุ์ เมื่อร่างกายมีฮอร์โมนในระดับเข้มข้นเหมาะสมแล้ว ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ในช่วงอายุ 13-14 ปีต่อไป ทั้งนี้ เทสโทสเตอรโรน (testosterone) ในระดับมาก จะเกี่ยวข้องกับความก้าวร้าว หุนหันพลันแล่น และการทำพฤติกรรมเสี่ยง
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ มีผลเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น
- โดพามีน (dopamine) ที่เกี่ยวข้องกับความสุขเมื่อได้รับรางวัล การได้รับรางวัลทำให้ฮอร์โมนเพิ่มขึ้นมาก กระตุ้นให้มีความสุขมาก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ เพราะหากวัยรุ่นได้รางวัลจากการทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือรุนแรง ก็จะยิ่งเป็นการเสริมให้พฤติกรรมเช่นนั้นยังคงอยู่ ตัวอย่างเช่น หากวัยรุ่นล้อเลียนเพื่อน แล้วได้รับคำชมจากกลุ่มเพื่อน วัยรุ่นจะจดจำและทำพฤติกรรมล้อเลียนนั้นต่อไปหรือเพิ่มขึ้น
- เซโรโทนิน (serotonin) ช่วยเพิ่มการกำกับควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม ช่วยให้สงบลดความตึงเครียด ซึ่งหากมีในระดับน้อย จะนำไปสู่อารมณ์ที่แปรปรวนได้ง่าย รวมถึงเกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล เหงา ซึมเศร้า มีปัญหาด้านการนอนหลับ
- คอร์ติซอล (cortisol) ที่หลั่งเพิ่มขึ้นเมื่อวัยรุ่นเผชิญกับความเครียดหรือกดทับความเครียดไว้
- เมลาโทนิน (melatonin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนอนหลับพักผ่อน ในวัยรุ่นจะหลั่งน้อยลง เป็นผลให้วัยรุ่นมีแรงมากขึ้น นอนดึกมากขึ้น
- เมื่อฮอร์โมนเกิดความสมดุล ก็จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดี แต่ในทางตรงข้าม หากต้องเผชิญสถานการณ์เครียด กดดัน ไม่คาดฝัน ที่มากเกินรับไหว สมองของวัยรุ่นก็จะถูกกระตุ้นให้มีการตื่นตัวมากขึ้น ความเข้มข้นของอารมณ์และฮอร์โมน บวกกับสมองส่วนที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ จึงส่งผลให้แสดงออกเป็นพฤติกรรมเสี่ยงหรือพฤติกรรมที่รุนแรง ยับยั้งชั่งใจยากนั่นเอง
พัฒนาการทางความคิดและจิตใจของวัยรุ่น
วัยรุ่นมีพัฒนาการทางความคิดในรูปแบบนามธรรมมากขึ้น เริ่มมองในมุมมองที่หลากหลาย ประเมินผลและตัดสินใจจากข้อมูลหลายแหล่ง คิดวิเคราะห์มากขึ้น ต่างจากวัยเด็กที่มีความคิดแบบรูปธรรม มีถูกมีผิด มีขาวมีดำเท่านั้น เราจึงมักสังเกตเห็นว่าลูกหลานในช่วงวัยเด็กนั้นเชื่อฟังว่านอนสอนง่าย ในขณะที่ลูกหลานวัยรุ่นมักเริ่มมีเหตุผลของตัวเอง โต้เถียงได้ ตัดสินใจเองได้มากขึ้น
ในช่วงวัยรุ่นนี้ ยังเป็นช่วงสำคัญในการค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ของตัวเอง วัยรุ่นที่มีอิสระ ได้ทดลอง ได้สำรวจ ได้ค้นหาตัวตนของตัวเอง จะทำให้เขามีความเชื่อมั่นในตนเอง และต่อยอดไปสู่การมีช่วงวัยผู้ใหญ่ที่ใจเข้มแข็งได้ ในทางตรงข้าม วัยรุ่นที่ยังไม่แน่ชัดในความเป็นตัวเอง จะเกิดคำถาม สับสน สงสัยในตัวเอง เชื่อมั่นในตนเองน้อยลง และเริ่มแสวงหาแหล่งพึ่งพิงทางใจอื่นทดแทน เช่น การทดลองทำพฤติกรรมเสี่ยง
อีกทั้ง ในช่วงวัยนี้ มักให้ความสนใจกับบุคลที่มีความคล้ายคลึงกับตัวเอง ไม่ว่าจะด้านกายภาพหรือด้านสิ่งที่ให้คุณค่า เช่น เพื่อน หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง จึงดูเหมือนว่าเมื่อเป็นวัยรุ่นแล้ว ความสนิทสนมกับครอบครัวจะน้อยลง และสนิทกับเพื่อนมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ที่เขาจะเริ่มสำรวจและค้นหาความเป็นตัวเอง เพื่อพัฒนาความเชื่อมั่นและความแข็งแรงในจิตใจ
สังคมของวัยรุ่น
นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เห็นได้ชัดในวัยรุ่นแล้ว วัยรุ่นยังต้องมีการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย ทั้งจากการเปลี่ยนผ่านจากชั้นประถมสู่มัธยม / การเปลี่ยนห้องเรียน / การเปลี่ยนเพื่อนใหม่ / การย้ายโรงเรียน / การเจอครูคนใหม่ / การเรียนที่เพิ่มขึ้นหรือยากขึ้น เป็นต้น การต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้านพร้อมกันของวัยรุ่น สามารถส่งผลให้เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนขึ้นในเวลาเดียวกัน วัยรุ่นทั้งอยากค้นหาตัวเอง อยากเรียนรู้ อยากแสดงอารมณ์ ในขณะเดียวกันก็ใส่ใจคนรอบตัวเยอะขึ้น อยากได้รับการยอมรับ อยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม บางครั้ง วัยรุ่นจึงเลือกเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ และเลือกทำตามสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการ ซึ่งนั่นอาจนำไปสู่การกดทับความรู้สึกที่แท้จริง ความไม่สบายใจ ความอึดอัดใจ จนเมื่อสะสมขึ้นมาก ในท้ายที่สุด อารมณ์เหล่านั้นก็พร้อมจะปะทุออกมา ผ่านทางร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โมโหง่าย เบื่อหน่าย ปวดหัว ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ หายใจติดขัด มีพฤติกรรมก้าวร้าว มีปากเสียงกับคนรอบตัวบ่อย มีพฤติกรรมเสี่ยง
ช่วยเหลือและสนับสนุนวัยรุ่นได้อย่างไร?
แม้ว่าวัยรุ่นจะเริ่มสนใจเพื่อนหรือบุคคลอื่นมากกว่าคนในครอบครัว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการครอบครัว สิ่งที่เขาต้องการคือความรู้สึกเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวเขา ให้เขาได้รู้สึกว่ามีอิสระในการคิดตัดสินใจ สำรวจตัวตน ทดลองวิธีรับมือเรื่องราว มีคนอยู่เคียงข้างและแนะแนวทางที่เหมาะสม ไม่บีบบังคับจนเกินไป มีตัวอย่างที่ดี เพื่อช่วยพยุงให้เดินต่อไปได้โดยไม่ทำร้ายใคร
โดยแนวทางสำหรับครอบครัวในการช่วยเหลือสนับสนุนวัยรุ่น มีดังนี้
1.สังเกต
หมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูกหลาน ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงปกติไหม สิ่งที่ทำประจำกลับไม่ทำแล้ว หรือนิสัยเดิมหายไป เช่น ร่าเริงพูดเก่ง กลับเก็บตัว เฉยชา หรือจากเด็กอารมณ์ดี กลับหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย เพราะการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่เห็นนี้เป็นสัญญาณของอารมณ์ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมได้
2.เข้าใจความเป็นวัยรุ่น
เมื่อครอบครัวเข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น ที่ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ต้องการพื้นที่ให้ค้นหาตัวตนอย่างอิสระ แต่ก็ยังต้องการแหล่งสนับสนุนด้วย ก็จะช่วยให้ครอบครัวมองสิ่งที่วัยรุ่นเผชิญผ่านมุมมองของวัยรุ่นได้ชัดและเข้าใจมากขึ้น นำไปสู่การสนับสนุนอย่างตรงเป้าหมาย และไม่ละเลยความรู้สึกของวัยรุ่น
3.สื่อสารแบบวัยรุ่น
ปรับวิธีการสื่อสารให้วัยรุ่นได้มีอิสระในการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเขา ครอบครัวเป็นผู้รับฟังอย่างตั้งใจ ฟังให้เห็นถึงประเด็นที่เขาต้องการ รวมถึงฟังความรู้สึกของเขา โดยอาศัยวิธีการชวนคุย ใช้คำถามปลายเปิดแทนการใช้คำสั่ง และพูดคุยด้วยน้ำเสียงปกติ หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ปะทะกัน ตัวอย่างเช่น
“หนูต้องทำแบบนี้สิ แบบนั้นไม่ดี”
ลองปรับเป็น
“ในครั้งนี้ หนูคิดว่ายังไงบ้างคะ อยากลองทำแบบไหน” หรือ “เหตุการณ์นี้เราเคยทำแบบนี้กันนะ แล้วตอนนี้ลูกอยากลองทำแบบไหนบ้างคะ”
“หยุดโวยวายเดี๋ยวนี้”
ลองปรับเป็น
“ตอนนี้ลูกดูเหมือนเสียงดังขึ้นนะ เป็นอะไร เล่าให้พ่อฟังได้นะ”
“ทำไมวันนี้ไม่พูดไม่จา”
ลองปรับเป็น
“วันนี้ลูกดูเหนื่อย ๆ นะ เป็นยังไงบ้าง เล่าให้พ่อกับแม่ฟังได้นะ”
4.สร้างความใกล้ชิดแบบวัยรุ่น
สังเกตสิ่งที่ลูกหลานให้ความสนใจในช่วงเวลานั้น พูดคุยและชวนทำในสิ่งที่เขาสนใจ แบ่งให้เขามีบทบาทเป็นผู้นำในกิจกรรมภายในครอบครัว ได้เลือกทำ ได้ตัดสินใจด้วยตนเอง
5.ให้ข้อมูล
เมื่อเสริมสร้างความใกล้ชิดกับลูกหลานแล้ว ควรให้ข้อมูลในเรื่องที่เขาสนใจหรือเป็นกังวล รวมถึงประเด็นที่ช่วยปกป้องและเสริมสร้างความแข็งแรงของใจ เพื่อให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ แบบฉบับของวัยรุ่นได้ เช่น การดูแลร่างกายเมื่อมีรอบเดือน อันตรายของการใช้สารเสพติด วิธีการสื่อสารอารมณ์อย่างเหมาะสม การปฏิเสธแบบประนีประนอม การรับรู้ความรู้สึกของตนเอง การรับรู้และยอมรับความแตกต่างในสังคม การเคารพตนเองและผู้อื่น วิธีจัดการผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด
6.เป็นแบบอย่างที่ดี
สิ่งสำคัญไปกว่าข้อมูลที่วัยรุ่นได้รับนั่นคือ การได้เห็นตัวอย่างที่ดี วัยรุ่นจะเรียนรู้จากบุคคลใกล้ชิด ซึ่งคือครอบครัว เขาจะซึมซับจากครอบครัวว่าในสถานการณ์ต่าง ๆ นั้น ครอบครัวจัดการอย่างไร และผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเขาต้องเผชิญกับเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตนเอง เขาก็จะหยิบสิ่งที่จัดเก็บในคลังข้อมูลของเขาออกมาใช้ได้
เมื่อเรามองภายนอก วัยรุ่นดูจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นยังคงเป็นวัยค้นหาและพัฒนาตัวตนทั้งภายในและภายนอก เขายังคงต้องการการสนับสนุนและช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ ที่ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัยและมั่นคง เพราะการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างนั้นเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อยเลยสำหรับวัยรุ่น ไม่ว่าจะทั้งร่างกาย ความคิด อารมณ์ สังคม เขากำลังเรียนรู้วิธีรับมือกับความท้าทายในรูปแบบต่าง ๆ อาศัยทั้งประสบการณ์เดิมและค้นหาข้อมูลใหม่ ๆ มากมาย ในบางครั้ง ความรุนแรงหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมจึงอาจถูกหยิบมาใช้ตั้งรับกับเรื่องราวท้าทายในชีวิต ทั้งนี้ เมื่อเขาได้เข้าใจตัวเองผ่านการชี้แนะจากผู้ใหญ่ใกล้ตัวด้วยความเข้าใจ ความเมตตา เมื่อนั้นแล้ว วัยรุ่นก็จะสามารถเสริมสร้างพลังใจและเติบโตได้อย่างไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น
บทความโดย
ศุภาพิชญ์ แก้ววัชระรังษี (ฟิวส์)
นักจิตวิทยา
ภาพโดย
พัทธดนย์ เจริญผล
Web Master & Co-Founder